เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ธ.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้วันพระ วันโกน วันโกนเตรียมตัว วันพระเราทำบุญกุศล นี่วันปกติเราทำมาหากิน เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา ศาสนาสอนถึงให้ขยันหมั่นเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้าเรามีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ชีวิตเราไม่อับจน แล้วถ้าเราเป็นนักบวช นี่ความเพียรชอบ เราจะล่วงพ้นด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเพียรของโลกมีสติ มีปัญญา อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ

ความเชื่อ เห็นไหม ศรัทธาความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ของคนที่ให้เข้ามาศึกษาในศาสนา แต่ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้หรอก เราเชื่อว่าเราจะเป็นพระอรหันต์ แล้วเราไม่ปฏิบัติสิ่งใดเลย เราจะไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย ถ้าเราเชื่อว่าเราจะเป็นพระอรหันต์ แล้วเราขวนขวายของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะเป็นพระอรหันต์ของเราข้างหน้าถ้าเราทำของเราตามความเป็นจริง แต่ถ้าเราเชื่อของเราแล้วเราไม่ได้ปฏิบัติ เราเชื่อของเรา เราเชื่อแล้วค้นคว้า ค้นคว้าทางโลกมันก็เป็นเรื่องโลกๆ

ฉะนั้น ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม นี่เรามีสติปัญญาเราก็ประกอบสัมมาอาชีวะด้วยความมีสติ เราไม่เป็นกระต่ายตื่นตูม เราไม่เชื่อเรื่องโลกๆ ไป นี่เรื่องโลกๆ เพราะในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในรัตนตรัยของเราไม่ได้สอน ไม่ได้สอนเรื่องโลกแตกหรอก โลกมันจะแตก มันจะบุบสลาย มันจะทำลายไปมันก็เป็นแร่ธาตุ ดูสิเวลาทวีปมันเคลื่อนตัวมันไป นี่เวลาเคลื่อนตัวมันไปมันตัดเลยนะ มันตัดถึงเผ่าพันธุ์ของสัตว์ สัตว์ที่โดดเดี่ยวอยู่ในเกาะต่างๆ นี่พันธุ์ของมันพันธุ์ดั้งเดิม

ในเมื่อแผ่นดินใหญ่ แผ่นดินใหญ่มีการผสมพันธุ์มันข้ามพันธุ์ มันก็แตกต่างหลากหลายกันไป อันนี้เป็นเรื่องที่ปกติ เรื่องธรรมดา เรื่องปกติธรรมดา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน สอนว่ากิเลสมันแตก เวลาหลวงตาท่านออกประพฤติปฏิบัติ นี่เวลาท่านต่อสู้กับกิเลสไม่ได้ ท่านว่า

“มึงต้องตายในวันใดวันหนึ่ง”

กิเลสมันหลอกลวงเราไง มันหลอกลวงเรานะ นี่ออกประพฤติปฏิบัติ ออกมาเพื่อจะชำระล้างกิเลส ออกมาเพื่อจะเผชิญกับความจริง เวลาไปเจอกับความจริง สู้มันไม่ได้ไง เราไม่มีอาวุธสิ่งใดเลย ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีมหาสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีสิ่งใดเลยจะไปต่อสู้กับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ความรู้สึกนึกคิดในตัว ในความรู้สึกของเราที่มันโหมกระหน่ำทำลายเราอยู่นี้ เราไม่ได้มองตรงนี้เลย เราไปห่วงแต่ข้างนอก เราไปห่วงว่ามันจะเป็นไป โลกมันจะเป็นไป

โลกมันจะเป็นไป มันจะเป็นไปไหนชีวิตมันก็อยู่อย่างนี้ นี่เวลาถึงที่สุดไปแล้วเรื่องของโลกๆ ไง แล้วเราไปเชื่อเรื่องอย่างนั้น พุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น พุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย พุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำสิ่งใดจะได้อย่างนั้น ถ้าทำสิ่งใด นี่ความดีของโลกเขาต้องสรรเสริญกัน เวลาเขานินทากันใจแฟ่บเลย เห็นไหม แต่ความดีของธรรมล่ะ?

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ในป่านะ อยู่โคนต้นโพธิ์องค์เดียวเท่านั้นแหละ เวลาตรัสรู้อยู่ในป่า อยู่โคนต้นโพธิ์องค์เดียว แต่ทำไมท่านมีศักยภาพ ท่านวางหลักธรรมไว้ให้พวกเราชาวพุทธให้มีที่พึ่งที่อาศัยนะ ดูสิเวลาคนหิวกระหาย ถ้ามีอาหารเพื่อดำรงชีวิต เขาจะพอดำรงชีวิตของเขาไปได้ เวลาจิตใจมันทุกข์ร้อน เวลามันทุกข์ร้อนจะเอาสิ่งใดมาเป็นที่พึ่งของมัน แล้วที่พึ่งในพุทธศาสนา ที่พึ่งของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ที่พึ่งอยู่ที่นี่เราก็ไม่แสวงหา เราก็จะไปเอาตื่นโลกตื่นสงสารกัน

ถ้าตื่นโลกตื่นสงสารกัน เห็นไหม นี่เวลาพุทธศาสนาว่าทำบุญแล้วจะร่ำรวยๆ ทำดีมาก็ต้องดีแน่นอน ถ้าทำชั่วมานะมันมีอุปสรรคขัดขวางมันโดยกรรม นี่ไม่มีใครไปทำลายเขา ไม่มีใครแก้เขา ไปกลั่นแกล้งเขา ไม่มีใครทำหรอก ทุกคนอยากให้ทุกคนประสบความสำเร็จ ทุกคนอยากมีความสุขขึ้นมา ในสังคมเราอยากให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่การกระทำของเขา กรรมของเขามันให้ผลกับเขา แต่กรรมของเรา ทำคุณงามความดีของเราให้ความดีของเรา

ถ้ามีความดีของเรา เราอิ่มพอไหม? เราเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีเลยถ้าเราพอ เราพอของเราแล้วนะ เราอิ่มพอขึ้นมามันไม่ขวนขวายออกไปข้างนอก ไม่ขวนขวายออกไปข้างนอกเพราะอะไร? เพราะทรัพย์สมบัติหามามันใช้พอประทังชีวิตเท่านั้นแหละ สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันต้องการมักมากอยากใหญ่แล้วเอามาแบกไว้เป็นภาระ เป็นความทุกข์ของมัน แต่ถ้าเราเสียสละของเรา เห็นไหม เราเสียสละของเรา

ดูสิดูพระบวชมาไม่มีบ้านไม่มีเรือน ไม่มีสิ่งใดเลย ถ้าอยากจะฉันอาหารก็เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เดินไปสิ หาสิ มันมีทั้งนั้นแหละ ของในโลกนี้เขามี คนที่เขามีศรัทธาความเชื่อเขาพร้อมอยู่แล้วที่จะสนับสนุน เขาอยากจะหาพระที่ดีๆ ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง แล้วมีคุณธรรมแล้วมาสั่งสอนเขา มาบอกเขาบ้าง สิ่งนี้ถ้ามันแสวงหา แม้แต่ไม่มีบ้านไม่มีเรือน ไม่มีอาชีพสิ่งใดเลยก็ยังเลี้ยงชีพได้ ยังดำรงชีวิตได้ แล้วเราจะไปตื่นเต้นอะไรกับโลกมันจนเกินไปนัก

เราหาของเรามา นี่เราบริหารจัดการของเรา เห็นไหม นี่มันพออยู่พอกินของเรา แต่หัวใจเรามันต้องสิ้นสุดไปแน่นอน คือว่าชีวิตเราต้องมีพลัดพรากเป็นที่สุดแน่นอน ถ้าชีวิตมีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราจะทำอย่างไรของเรา? มีศรัทธาความเชื่อแล้ว มีศรัทธาความเชื่อแล้วเราก็ต้องแสวงหาของเรา เวลาทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ของเขา พิสูจน์ทางโลกทางวิทยาศาสตร์ของเขา แล้วลัทธิความเชื่อ นี่ศีลธรรมจริยธรรมมันก็ขัดแย้งกัน แต่เวลาพุทธศาสน์ของเรานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน สอนให้เราพิสูจน์ของเราๆ

นี่ศาสนาพุทธ ศาสนาสอนให้พิสูจน์นะ แต่ลัทธิศาสนาอื่นๆ เขาให้เชื่อ เขาให้เชื่อของเขา ต้องเชื่อฟังแล้วอ้อนวอนขอไปตามอย่างนั้น เขาให้เชื่อของเขา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเรื่องกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมขึ้นมาให้เรามีศรัทธาความเชื่อ เห็นไหม แล้วไม่ให้เชื่ออะไร? ไม่ให้เชื่อกิเลสมันหลอกลวงอยู่ในใจนั่นล่ะ ความเชื่อของเรามันพ่วงมาด้วยอวิชชา ด้วยความหลอกลวงอันนั้น แต่ถ้ามันมีความเชื่ออย่างนั้นมา ความเชื่อมันก็เข้าข้างตัวเองทั้งนั้นแหละ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามาเราพิสูจน์กันๆ

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ให้เชื่อ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ให้เชื่อให้เห็นอันนั้น ให้เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันประจักษ์ต่อใจ มันประจักษ์ขึ้นมากับหัวใจ นี่เราสงสัยมากเราเกิดมาจากไหน? เรามาอยู่ทำไม? แล้วตายแล้วมันจะไปไหน? นี่คือจิตใต้สำนึกใช่ไหม? ทุกคนบอกว่าเรามาจากไหน? อยู่ทำไม? ไปไหนต่อ? แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนต้นโพธิ์ เวลาจิตสงบเข้ามาบุพเพนิวาสานุสติญาณ อ๋อ! นี่มันมาจากไหนล่ะ? อดีตชาติมันมาอย่างไร? แล้วถ้ามันไปไม่ได้ จุตูปปาตญาณอนาคตมันไปอย่างนั้น

นี่มันไปแน่นอน มันไปแน่นอน จิตมันไปแน่นอนเพราะอะไร? อนาคตยังไม่เกิดรู้ได้อย่างไร? อนาคตยังไม่เกิด แต่เพราะจิตดวงนี้มันมีเวรมีกรรม นี่กรรมที่มันส่งไปมันมีต้นเหตุไง เหตุที่มันจะไปมันมี ถ้าเหตุที่จะไปมันมี ท่านดูตรงนี้ท่านบอกว่าถ้ามันไม่มีเหตุขับดันอันนี้มันจะไปอย่างนั้น นี่จุตูปปาตญาณ แต่เวลาเสร็จแล้วเข้ามาอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พิสูจน์ที่นี่

แม้แต่จะเข้ามามันบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ ญาณหยั่งรู้ของจิตตามข้อมูล นี่กำปั้นทุบดิน นี่โลก โลกเพราะอะไร? โลกเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ มันสร้างมา สร้างมามหาศาลเลย เวียนตายเวียนเกิดๆ เห็นไหม นี่โลก โลกเพราะอะไร? เพราะมันเกิดจากโลก เกิดจากการกระทำ เกิดจากการสร้างอำนาจวาสนาบารมี แล้วถ้าสิ่งที่เป็นโลกมันก็อยู่กับจิตดวงนั้น ข้อมูลมันมีอยู่ในใจดวงนั้นไง

นี่เวลามันไปก็ข้อมูลเหตุอันนั้นมันจะพาไป เวลามันกลับมาที่ปัจจุบันมันล้างหมด มันมาล้างสิ่งนี้ ล้างเวรล้างกรรมทั้งสิ้น อวิชชาความไม่รู้ในใจ ข้อมูลที่มันมีอยู่ในใจมันชำระล้างทำลายอาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชา ทำลายความไม่รู้เข้ามา พอมันรู้ เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา อวิชชาความไม่รู้มันปกคลุมอยู่ จิตมันมีของมันอยู่ มันเวียนตายเวียนเกิดของมัน มันเป็นวาระๆ วาระที่เราเกิดในสถานะใด แล้วสถานะใด ปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนขึ้นมา

นี่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติด้วยลำพังตัวของเรา ทั้งๆ ที่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็ละล้าละลัง เรามีอวิชชา มีความไม่รู้ เราไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะนี่ประเสริฐ แต่จิตใจของเรามันมีอวิชชา มีความลังเลสงสัย มีการคาดเดา มีการคาดหมาย มีการอนุมาน นี่มันคิดของมันไปร้อยแปด ทั้งๆ ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโจทย์นะ แต่เวลาเราไปศึกษาแล้ว ศึกษาโจทย์นั้นแล้วเราก็ไม่เข้าใจ แต่เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามา มันมีสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาในใจนั้น เห็นไหม

สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นมาที่จิตสงบแล้วมันพิจารณาของมัน นี่สิ่งที่พิจารณาของมันเป็นข้อมูลของใจที่มันชำระล้าง ที่ว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ กรรมที่มันเกิดจากอดีตชาติ กรรมที่มันไม่สิ้นสุดแล้วมันจะไปอนาคต นี่เวลาเราศึกษาของเรา ข้อมูลของเรา เรามาแยกแยะของเรา เรามาพิจารณาของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้มันเกิดขึ้นมาจากอะไรล่ะ? เกิดขึ้นมาจากธรรมจักร จักรที่ว่าสัมมาสมาธิ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา

สิ่งที่สัมมาปัญญามันเกิดขึ้นมาจากไหน? มันเกิดขึ้นมาจากจิต จิตที่มันมีการกระทำของมัน มันเวียนของมันขึ้นมามันก็เป็นจักร จักรนี้มันก็เคลื่อนเข้ามา เคลื่อนเข้ามาชำระล้าง เคลื่อนเข้ามาขับไส เคลื่อนเข้ามาสำรอกคายสิ่งที่มันเป็นข้อมูล สิ่งที่เป็นสัญญา สิ่งที่ซับสมไว้ในหัวใจ มันทำลายของมันๆ นี่ถ้ากิเลสมันแตกมันแตกอย่างนี้

โลกนี้เป็นอจินไตย อจินไตย ๔ ใครจะคาดหมายของมัน ใครจะคาดหมาย พระพุทธเจ้าบอกแล้วอจินไตย ๔ พุทธวิสัยคือปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาของพวกเราไม่มีใครเทียบได้ นี่จะสูงส่ง เก่งกาจขนาดไหนเทียบปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาวก สาวกะสร้างกุศล บุญญาธิการไม่เท่ากัน พุทธวิสัย เรื่องกรรม เรื่องฌาน เรื่องโลก

เรื่องโลกเป็นอจินไตย ถ้าสิ่งที่เป็นอจินไตยมันจะอยู่ของมันอย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ ๕,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปี โลกมันสุญญกัป มันจะว่างอยู่ชั่วคราว แล้วพระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ไปข้างหน้า อนาคตวงศ์จะมาตรัสรู้ต่อไปข้างหน้า ในเมื่อมันมีจิต มันมีจิตวิญญาณที่เราได้สร้างสมบุญญาธิการกันมา เวลาผู้ที่สร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้ไปข้างหน้า นี่รออยู่ แล้วถ้ามันจะไปตรัสรู้กันที่ไหนล่ะ?

เห็นไหม สิ่งนี้มันมีอยู่ ถ้าพุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องอย่างนั้นเลย เรื่องสิ่งที่สังคมตื่นเต้นกันมันไม่เป็นประเด็นเลยถ้าเป็นชาวพุทธ แต่นี่มันเป็นไสยศาสตร์ มันเป็นโลก มันเป็นความเห็นของคน แล้วก็ประชาสัมพันธ์กันไปเท่านั้นเอง แล้วโลกก็ตื่น โลกตื่นเพราะอะไร? โลกตื่นเพราะมันมีผลได้ผลเสีย ใครทำสิ่งใดเขามีผลประโยชน์ มีคนได้คนเสียมันก็ทำของมันขึ้นไป

นี่มันก็ทำขึ้นมาให้เป็นประเด็นขึ้นมา คนที่ไม่เห็นด้วยก็เยอะแยะไปหมด ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่ชาวพุทธเขาก็ไม่เชื่อ ไม่มีใครเชื่อหรอก แต่คนที่เชื่อ นี่ในเมื่อพุทธศาสนา ศาสนาที่ประเสริฐ ศาสนาที่มีเหตุมีผล เราเป็นชาวพุทธกัน มีเหตุมีผลแล้วทำไมมาตื่นเต้นไปกับอย่างนั้น มันไม่เป็นเรื่องเลย ไม่เป็นเรื่องที่จะเอาเข้ามาเป็นเรื่องเลย แล้วเราไปตื่นเต้นอะไรกับสิ่งนั้น ถ้าเราไม่ตื่นเต้นกับสิ่งนั้น นี่เรามีสติ เราไม่เป็นกระต่ายตื่นตูม

ฉะนั้น พอไม่เป็นกระต่ายตื่นตูมนะ สิ่งที่จะทำได้คือทำให้ความไม่รู้ของเรา ให้อวิชชาของเรามันกะเทาะ มันล่นออกไปจากใจของเรา ถ้าใจของเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา นี่เราทำความสงบของใจนะ เราฝึกหัดของเรา เวลาสุขทางโลกนั้นสุขโดยสุขเวทนา ทุกขเวทนา มันเป็นสุขเวทนา มันเป็นเรื่องเวทนา เวลาจิตเราสงบเข้ามา เห็นไหม เวลามันสงบเข้ามามันก็เป็นรับรู้ แต่รับรู้โดยจิต เวลามันสุขจากการปล่อยวาง สุขจากที่จิตมันมีความสุขของมัน มันลึกลับมหัศจรรย์ มันแตกต่างกับโลกมหาศาล

ถ้ามันแตกต่างกับโลกมหาศาลนะ นี่เวลาเราทุกข์เราร้อนเราบ่นกันว่าเราทุกข์ๆ เราทุกข์อย่างนั้น ทุกข์อย่างนี้เสมอกัน เท่ากัน เพราะทุกคนต้องมีหน้าที่การงานเหมือนกัน อาบเหงื่อต่างน้ำเหมือนกันทุกคน ไม่มีใครหรอกที่ไม่ได้ทำงานมาแล้วจะมีใช้สอย ทุกข์นี้เสมอกัน แต่เวลาถ้าจิตสงบเข้ามานี่แตกต่างกัน แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดธรรมจักรขึ้นมายิ่งแตกต่างกันขึ้นไปใหญ่ แล้วสิ่งนี้สิทธิเสรีภาพ สิ่งที่แสวงหากันอยู่ โลกเรียกร้องกันอยู่ เราก็มีสิทธิเสรีภาพที่จะปฏิบัติของเราขึ้นมาเพราะเรามีจิต

เรามีจิต เห็นไหม มันปฏิบัติที่ไหนล่ะ? ก็ปฏิบัติที่จิตนั่นแหละ เพราะจิต จิตมันเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้มันส่งออกไป ธาตุรู้มันทำงานตามสัญชาตญาณของมัน ทำงานตามธรรมชาติของมัน เรามีสติปัญญาเราทวนกระแสกลับเข้าไป เราทวนกระแสกลับเข้าไปสู่จิต จิตนี่ สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดคือความคิด ความคิดที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดแล้วมันหยุดนิ่ง สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดมันหยุดนิ่ง มันมีกำลังของมัน มีความสุขความสงบระงับของมัน แล้วมันเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดธรรมจักรขึ้นมา เราจะตื่นเต้น เราจะมหัศจรรย์

เราจะมหัศจรรย์บอกว่า ฮึ คนทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ? คนทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ? แต่เวลาไอน์สไตน์มันคิดได้เราทึ่งมากนะ ทึ่งมากเลย แต่ไอน์สไตน์บอกว่าถ้าเขามีโอกาสที่นับถือศาสนาได้ เขาอยากนับถือศาสนาพุทธ เขาอยากจะประพฤติปฏิบัติ เพราะไอน์สไตน์มันรู้ว่ามันมีกิเลสเต็มหัว เพราะไอน์สไตน์ตายไป ไอน์สไตน์ก็ไม่รู้ว่าไปไหน เราไปทึ่งสิ่งนั้นไง แต่เวลาถ้าธรรมจักรมันเกิดในใจเราจะตื่นเต้นของเรามาก มนุษย์ทำได้อย่างนี้หรือ?

เวลาองค์หลวงปู่มั่นท่านหมดกิเลส เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์นะ เราอยากเห็นเทวดา อินทร์ พรหม แต่เวลาคนที่เขาชำระล้างกิเลสได้ เทวดา อินทร์ พรหม ยังต้องมาขอฟังเทศน์ เทศน์เรื่องอะไร? ก็เทศน์เรื่องกิเลสนี่ไง เรื่องความไม่รู้ เทวดาไม่รู้อะไร? เทวดาไม่รู้ตัวเองไง เทวดาไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาจากไหน แล้วจะไปไหนไง

พรหมก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้เลย ในสามโลกธาตุไม่มีใครรู้ว่าจิตนี้มันมาจากไหน มันมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างใด แต่ถ้าคนที่สิ้นกิเลสแล้วรู้หมด จิตนี้มาจากไหน มาทำไม อยู่ทำไม นี่แล้วถ้ากิเลสมันสิ้นไปแล้ว ตายแล้วไปไหน? มันไม่มีอะไรตายไปไหน นี่เทวดาไม่รู้ เทวดา อินทร์ พรหมไม่รู้ แต่มนุษย์รู้ มนุษย์ที่ชำระล้างกิเลสนี่รู้ แล้วโลกมันจะแตกไปไหนล่ะ? โลกมันจะแตกไปไหน?

นี่มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่เราก็ตื่นเต้นไปกับเขา มันเสียดาย เสียดายที่เราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม ชาวพุทธนี่โลกธรรม ๘ ตื่นเต้นไปกับเขา ถ้าชาวพุทธมีหลักมีเกณฑ์นะ นี่ถ้าศาสนาสอนให้คนมีหลักมีเกณฑ์ ศาสนาสอนไม่ให้คนเป็นเหยื่อ แล้วศาสนามันจะมีคุณค่ามาก แล้วเราก็เป็นชาวพุทธ มีสติมีปัญญาย้อนกลับมาดูใจเรา แล้วกลับมาชำระล้างที่นี่ ถ้ากิเลสมันได้สำรอกคายออกมาจากใจเราแล้ว เราจะมีความมั่นคง แล้วเราจะมีวิมุตติสุข เราจะไม่ตื่นเต้นไปกับโลก เอวัง